“มหาลัยไทยอยู่ตรงไหนในโลก Digital Nomad”
“Digital Nomad” เป็นคำที่คนไทยเริ่มรู้จักและได้ยินหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ มาตั้งแต่ปีกลาย โดยคำนี้เป็นชื่อเรียกกลุ่มมนุษย์โลกพันธุ์ใหม่ที่สามารถทำงานได้จากทุกที่ทั่วโลกที่มีอินเทอร์เน็ต และคนกลุ่มนี้เองกำลังกลายเป็นเป้าหมายใหม่ที่ภาคธุรกิจและการศึกษาทั่วโลกจับตามองเช่นกัน จากรายงาน Global Digital Nomad Study ของ ABrotherAbroad.com ประเมินว่า กลุ่ม Digital Nomad ทั่วโลก สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 787 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือประมาณปีละ 26.8 ล้านล้านบาท โดยในปี 2565 จ านวน Digital Nomad ทั่วโลก พุ่งขึ้นแตะระดับ 35 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.3 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีจ านวนเพียง 15.2 ล้านคน และมีโอกาสแตะระดับ 60 ล้านคน ในปี 2573
สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถือเป็นตลาด Digital Nomad ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง การเพิ่มขึ้นของ Co-working Space และ Co-living Space รวมถึงค่าครองชีพที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว
โดยร้อยละ 64 ของประชากร Digital Nomad ทั้งหมด อยู่ในกลุ่ม Millennials (เกิดปี พ.ศ.2523-2540) และ Gen Z (เกิดหลังปี พ.ศ. 2540) ซึ่งทั้ง 2 เจนเนอเรชั่นนี้มีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีดิจิทัลและการทำงานแบบ Remote เป็นทุนเดิม และให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างอิสระและยังผสมผสานการทำงานหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจาก Krungthai COMPASS พบว่าปี 2566 มี Digital Nomad ต่างชาติเข้ามาพำนักระยะยาวในไทยแล้วกว่า 35,000 คน โดยเฉลี่ยใช้จ่ายคนละ 62,000 บาทต่อเดือน สร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศกว่า 26,000 ล้านบาทต่อปี จะเห็นได้ว่า Digital Nomad กำลังเป็นผู้บริโภคกลุ่มใหม่ที่มีอำนาจซื้อสูง มีศักยภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น และให้ความสำคัญกับการเรียนรู้พัฒนาทักษะตลอดชีวิต แต่ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตและความต้องการที่แตกต่างจากนักเรียนนักศึกษาทั่วไป สถาบันการศึกษาในหลายประเทศจึงเริ่มและเร่งปรับตัวเพื่อตอบโจทย์มนุษย์พันธุ์ใหม่กลุ่มนี้โดยเฉพาะ คำถามคือ มหาวิทยาลัยไทยพร้อมก้าวตามเทรนด์นี้แล้วหรือยัง?
เมื่อ Digital Nomad กำลังบุกไทย มหาวิทยาลัยยังอยู่เฉยได้อีกหรือ?
จากการค้นหาข้อมูลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปัจจุบันพบว่าเริ่มมีหลายมหาวิทยาลัยพัฒนาหลักสูตรจัดการเรียนการสอนให้คนไทยสามารถเป็น Entrepreneur และ Digital Nomad ได้ แต่ยังไม่มีความชัดเจนถึงการจัดหลักสูตรทั้งระยะสั้นและออนไลน์มารองรับกลุ่ม Digital Nomad ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยเฉพาะ
เหตุใดมหาวิทยาลัยไทยจึงยังคงชะล่าใจกับกระแส Digital Nomad ทั้ง ๆ ที่เงินนับหมื่นล้านบาทกำลังมากองอยู่ตรงหน้า? หรืออาจเป็นเพราะยังติดกับดักรูปแบบการศึกษาแบบเดิมจนมองไม่เห็นโอกาสใหม่ก็อาจเป็นได้
ในเมื่อ Digital Nomad ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Millennials และ Gen Z ที่ต้องการเรียนรู้ทักษะใหม่ตลอดเวลา มีพฤติกรรมการเรียนที่ยืดหยุ่น และเน้นประสบการณ์จริงมากกว่าทฤษฎีในห้องเรียน การปรับตัวของมหาวิทยาลัยเพื่อให้สอดรับกับความต้องการเฉพาะของ 2 เจนเนอเรชั่นนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่มิอาจละเลยได้
ถอดบทเรียนมหาวิทยาลัยไทย พลิกโฉมรับมือกระแส Digital Nomad
แม้ความเคลื่อนไหวจะเริ่มเห็นได้รำไรจากมหาวิทยาลัยไทยบางแห่ง แต่ก็ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ เท่านั้น หากรัฐบาลต้องการให้มหาวิทยาลัยไทยลงสนามชิงความได้เปรียบดึง Digital Nomad มาเป็นผู้เรียนและผู้ใช้บริการการศึกษาระดับสากล มหาวิทยาลัยไทยอาจจำต้องเร่งปรับตัวใน 5 ด้านหลักนี้
1. ปรับเปลี่ยนทัศนคติ มองให้เห็นโอกาส: ผู้บริหารมหาวิทยาลัยต้องเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลง ไม่ยึดติดกับภาพลักษณ์มหาวิทยาลัยแบบเก่า แต่มองให้เห็นโอกาสที่ Digital Nomad จะสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งในเชิงรายได้ จำนวนผู้เรียน และการยกระดับสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก
2. พัฒนาหลักสูตรเฉพาะกลุ่ม ตอบโจทย์การเรียนรู้ยุคใหม่: ต้องออกแบบหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการ วิถีชีวิต และทักษะที่จำเป็นสำหรับ Digital Nomad เช่น หลักสูตรระยะสั้น เน้นทักษะด้านดิจิทัล ภาษา และการเป็นผู้ประกอบการ เป็นต้น
3. ปรับกระบวนการเรียนรู้ ผสานออนไลน์และออฟไลน์: ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสร้างประสบการณ์การเรียนรู้แบบ Blended Learning ที่ยืดหยุ่นและไร้ขีดจำกัด ทั้งการเรียนผ่าน Online Platform การทำ Virtual Workshop และการจัด Networking ทั้งในรูปแบบ Physical และ Virtual
4. สร้างความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระดับประเทศและระดับนานาชาติ: สร้างเครือข่ายพันธมิตรกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก Tech Company อุตสาหกรรมเป้าหมาย และรัฐบาล เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี บุคลากร และสร้างงานวิจัยและนวัตกรรมร่วมกันอย่างบูรณาการ
5. สื่อสารและสร้างภาพลักษณ์มหาวิทยาลัยเพื่อ Digital Nomad: ใช้การตลาดและการประชาสัมพันธ์เชิงรุก ผ่านช่องทางที่เข้าถึงกลุ่ม Digital Nomad โดยตรง ทั้งการทำ Content Marketing บน Social Media การร่วมมือกับ Influencer ในวงการ Digital Nomad การเข้าร่วมงาน Conference ระดับนานาชาติ และการโปรโมทผ่านเว็บไซต์และสื่อที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็น Digital Nomad โดยเฉพาะ
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Digital Nomad ไม่เพียงส่งผลต่อภาคการท่องเที่ยวและบริการเท่านั้น แต่กำลังสร้างคลื่นลูกใหม่เขย่าวงการอุดมศึกษาทั่วโลก มหาวิทยาลัยไทยจึงไม่อาจปิดหูปิดตาต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้อีกต่อไป เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขทางการเงินเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการยกระดับคุณภาพการศึกษาให้ทัดเทียมนานาชาติ การสร้างบัณฑิตที่มีทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และการเปิดประตูสู่เวทีการศึกษาระดับโลกอย่างแท้จริง แน่นอนว่า การปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สิ่งสำคัญคือมหาวิทยาลัยต้องกล้าที่จะออกจาก Comfort Zone มาลองผิดลองถูก เรียนรู้และพัฒนาไปพร้อมกับ Digital Nomad ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อค้นหารูปแบบการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการของโลกอนาคต และเพื่อความอยู่รอดของมหาวิทยาลัยเอง