จุฬาฯ ปลื้ม อบรม Care D+ ทะลุเป้า ช่วยรัฐประหยัดงบ 37 ล้านบาท คืนเวลาราชการ 1.6 แสนชั่วโมง
ศ.นพ.ดร.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานแถลงความสำเร็จของโครงการขับเคลื่อนการสื่อสารสาธารณะและสังคม หรือ Care D+ โดยมีผู้บริหารจากกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่สนใจเข้าร่วมรับฟังผลความสำเร็จอย่างคับคั่ง
จากการดำเนินการฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ในโครงการ Care D+ ระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รายงานผลการดำเนินโครงการ พบผลสำเร็จที่โดดเด่น 4 ด้าน ได้แก่
1) มีผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตร Care D+ แล้วกว่า 20,000 คน เกินเป้าหมาย 10,000 คนที่ตั้งไว้
2) ช่วยประหยัดงบประมาณการฝึกอบรมของภาครัฐได้ถึง 37 ล้านบาท
3) คืนเวลาการทำงานให้แก่ราชการได้มากถึง 160,000 ชั่วโมง
4) ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมการอบรมได้ถึง 143 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ศ.นพ.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า
“ความสำเร็จของโครงการ Care D+ ในวันนี้ เกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งกระทรวงสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาหลักสูตรและระบบที่มีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับการสื่อสารในระบบสาธารณสุขไทย
สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างบุคลากรทางการแพทย์กับผู้ป่วยและญาติ หากยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบราชการโดยรวมอีกด้วย
ผมเชื่อมั่นว่าความสำเร็จนี้สามารถเป็นต้นแบบในการนำไปประยุกต์ใช้กับหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ต่อไปได้อย่างกว้างขวาง
เมื่อบุคลากรภาครัฐมีทักษะการสื่อสารที่ดี เข้าใจประชาชน ย่อมส่งผลถึงคุณภาพการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น สร้างความพึงพอใจให้กับผู้รับบริการ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ภาครัฐโดยรวม
ซึ่งจะเป็นอีกก้าวสำคัญในการปฏิรูประบบราชการไทยให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง”
ทางด้าน รศ.ดร.สมิทธิ์ บุญชุติมา หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนวัตกรรมการสื่อสาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ที่เป็นหัวหน้าโครงการนี้ กล่าวว่า
“กระผมรู้สึกยินดีและขอขอบคุณทุกฝ่ายเป็นอย่างสูง ในความตั้งใจและทุ่มเทในการร่วมกันพัฒนาหลักสูตร Care D+ จนเป็นหลักสูตรออนไลน์ที่อยู่บนแพลตฟอร์มที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของบุคลากรทางการแพทย์ได้เป็นอย่างดี และสามารถนำความรู้ไปใช้ปฏิบัติได้จริงจนเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมชัดเจน ทั้งในแง่ของการประหยัดงบประมาณ การคืนเวลาให้ราชการ และการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ผมขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านที่เข้าร่วมหลักสูตรนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาตนเอง เพื่อให้สามารถสื่อสารและบริการประชาชนได้ดียิ่งขึ้น
ความสำเร็จของโครงการในวันนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อทุกฝ่ายร่วมแรงร่วมใจกัน เราสามารถยกระดับคุณภาพการดูแลรักษาพยาบาลของไทยได้อย่างแน่นอน
กระผมหวังว่ากระทรวงสาธารณสุขจะนำผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการนี้ไปใช้ประกอบการวางแผนพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่องต่อไป ควบคู่ไปกับการขยายผลความสำเร็จและพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง และเพื่อร่วมกันสร้างระบบสาธารณสุขไทยให้เข้มแข็ง เป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างยั่งยืนสืบไป”
จากความสำเร็จที่เกิดขึ้น ทางคณะทำงานโครงการ Care D+ หวังว่าจะขยายการพัฒนาทักษะการสื่อสารให้กับบุคลากรทางการแพทย์ให้มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งปรับปรุงหลักสูตรอบรมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นตามข้อเสนอแนะของผู้เข้าร่วมหลักสูตร เพื่อผลักดันให้เกิดทีม Care D+ อย่างทั่วถึงในโรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศ อันจะนำมาซึ่งระบบสาธารณสุขไทยที่มีคุณภาพและเข้าใจใส่ใจประชาชนได้อย่างแท้จริง